สังยุตตนิกาย
สคาถวรรค
เทวตาสังยุต
สตุลลปกายิกวรรคที่๔
สมยสูตรที่ ๗
ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดามาแต่โลกธาตุสิบแล้วประชุมกันมาก เพื่อจะเห็นพระผู้มีพระภาคและพระภิกษุสงฆ์ ฯ
ในครั้งนั้นแล เทวดา ๔ องค์ที่เกิดในหมู่พรหมชั้นสุทธาวาสได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แล ประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดามาแต่โลกธาตุสิบประชุมกันมาก เพื่อจะเห็นพระผู้มีพระภาคและพระภิกษุสงฆ์ ไฉนหนอแม้เราทั้งหลายควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วพึงกล่าวคาถาคนละคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาค ฯ
ในครั้งนั้นแล พวกเทวดาทั้ง ๔ นั้นจึงหายจากหมู่พรหมชั้นสุทธาวาส มาปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขนที่เหยียดเข้า ฉะนั้น ฯ
เทวดาองค์หนึ่ง ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ มีพวกเทวดามาประชุมกันแล้ว พวกข้าพเจ้ามาสู่ที่ชุมนุมอันเป็นธรรมนี้ เพื่อจะเยี่ยมหมู่พระผู้ที่ใครๆ ให้แพ้ไม่ได้ ฯ
ในลำดับนั้นแล เทวดาองค์อื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้นตั้งจิตมั่นแล้ว ได้ทำจิตของตนให้ตรงแล้วภิกษุทั้งปวงนั้น เป็นบัณฑิตย่อมรักษาอินทรีย์ทั้งหลาย ดุจดังว่านายสารถีถือบังเหียน ฉะนั้น ฯ
ในลำดับนั้นแล เทวดาองค์อื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุทั้งหลายนั้นตัดกิเลสดังตะปูเสียแล้ว ตัดกิเลสดังว่าลิ่มสลักเสียแล้ว ถอนกิเลสดังว่าเสาเขื่อนเสียแล้ว มิได้มีความหวั่นไหว เป็นผู้หมดจดปราศจากมลทิน อันพระพุทธเจ้าผู้มีจักษุทรงฝึกดีแล้ว เป็นหมู่นาคหนุ่มประพฤติอยู่ ฯ
ในลำดับนั้นแล เทวดาองค์อื่นอีกได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งถึงแล้วซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ชนเหล่านั้นจักไม่ไปสู่อบายภูมิ ละร่างกายอันเป็นของมนุษย์แล้วจักยังหมู่เทวดาให้บริบูรณ์ ฯ